ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ผ่านสุนัขทรงเลี้ยงทั้ง 5 ตัว
เรื่องราวของย่าเหล ทองแดง ฟูฟู ลูกหมีและคุณน้ำหอม
บทความภาษาไทยชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความของผมในสยาม ซีเคร็ต ที่บอกเล่าเรื่องราวของสมาชิกชื่อดังบาง “ท่าน” ของราชวงศ์ไทย นั่นก็คือ เหล่าสุนัขทรงเลี้ยงนั่นเอง
ผมกำลังหาวิธีให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและอ่านบทความนี้ได้ฟรี แต่หากคุณพอมีกำลังทรัพย์ กรุณาจ่ายเงินสมัครสมาชิกเพียงเดือนละ 150 บาท หรือถูกกว่านั้นหากจ่ายแบบรายปี เงินสนับสนุนของคุณจะเป็นค่าจ้างแปลบทความที่ผมเขียนเป็นภาษาไทย ขอบคุณมากครับ…
เรื่องราวของสุนัขทรงเลี้ยงในราชวงศ์ไทยได้เริ่มมีการบันทึกอย่างเป็นทางการน่าจะร้อยกว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เจ้าไทยส่วนใหญ่เป็นคนรักสุนัขและทางวังได้ทำการถ่ายทอดเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์ทางอย่างย่าเหลและทองแดงหรือสุนัขสายพันธุ์แท้อย่างฟูฟู ลูกหมี และคุณน้ำหอม ซึ่งสามารถบอกถึงบุคลิกลักษณะเจ้าของหรือแม้แต่ตัวราชวงศ์ได้ไม่น้อย นี่คือประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของไทยผ่านเรื่องราวของสุนัขทรงเลี้ยงทั้ง 5 ตัว
ย่าเหล (Jarlet)
ย่าเหลมีจุดเริ่มต้นชีวิตที่ไม่ได้ดีมากนัก ย่าเหลเป็นสุนัขพันธุ์ทางเกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม แต่หลังจากเกิดได้ไม่กี่สัปดาห์ในปี 2451 ก็มีแขกคนสำคัญเดินทางมาที่คุกแห่งนี้ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
เจ้าฟ้าวชิราวุธเกิดในปี 2424 ในวังที่กรุงเทพฯ ต่างจากย่าเหลที่เกิดในคุกประจำจังหวัด เมื่อวชิราวุธอายุได้ 12 ปี เขาถูกส่งไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ และสองปีหลังจากนั้นเหตุการณ์ไม่คาดหวังได้เกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทโดยกษัตริย์จุฬาลงกรณ์หลังจากที่เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ พี่ชายคนโตได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่
ถึงแม้ว่าสยามจะไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกชาติใดเลย แต่อังกฤษก็มองว่าสยามนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษอย่างแน่นหนาและเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ได้รับสิทธิ์ให้มีราชวงศ์ปกครองกันเองแต่ในทางกลับกัน ไทยต้องให้สิทธิพิเศษทางการค้า และสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่อังกฤษและคนในปกครองของอังกฤษทั้งหมด รัฐบาลอังกฤษยืนกรานให้ว่าที่กษัตริย์ของสยามจะต้องได้รับการศึกษาแบบชนชั้นสูงของอังกฤษ ทางอังกฤษเชื่อมั่นว่าจะทำให้เจ้าไทยเอื้ออำนวยผลประโยชน์ให้สอดคล้องกับเครือจักรภพอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจึงยืนกรานที่ให้วชิราวุธเข้าเรียนที่วิทยาลัยการทหารแซนด์เฮริสท์ และหลังจากนั้นก็เข้าฝึกเป็นทหารที่กองทหารราบดาร์แรม ไลท์ เมื่อจบก็เรียนด้านกฎหมายและประวัติศาสตร์ต่อที่วิทยาลัยไครส์ทเชิร์ช อ๊อกซ์ฟอร์ด
แต่วชิราวุธชอบและหลงใหลในงานวรรณกรรมและละครและเชื่อว่าตัวเขานั้นเป็นกวีและนักเขียนบทละครที่ประสบความสำเร็จ วชิราวุธชื่นชอบงานของวิลเลียม เช็คเปียร์อย่างมากและยังชอบการ์ตูนล้อเลียน ของ ดั๊บเบิลยู เอส กิลเบิร์ท และ อาเธอร์ ซัลลิแวน แต่ละครที่วชิราวุธชอบมากที่สุดและไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงมากแล้วในขณะนี้ก็คือ ละครองก์หนึ่งเรื่อง มายเฟรนด์ย่าเหล (My Friend Jarlet ) โดยนักประพันธ์ชาวอังกฤษ อาร์โนลด์ โกลสเวอธีและ อี บี นอร์แมน เป็นเรื่องเล่าที่แปลก ๆ ที่เกิดในสงครามฟรังโกกับปรัสเซีย (ฝรั่งเศสกับเยอรมัน) ในปี2413 เรื่องมีอยู่ว่า เอมิล จาร์เลต หรือ ย่าเหล ได้เสียสละชีวิตเพื่อช่วยพอลที่เป็นเพื่อนสนิทและยังเป็นคนรักของมารี เลอรุกซ์ลูกสาวของจาร์เลต
วชิราวุธซาบซึ้งเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อนชายและการเสียสละชีวิตในบทละครเป็นอย่างมาก และในช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษเขาได้แปลบทละครชิ้นนี้เป็นภาษาไทย และใช้ชื่อว่า “มิตรแท้” เขายังได้เล่นละครเรื่องนี้ให้กษัตริย์จุฬาลงกรณ์ดูในช่วงที่กษัตริย์จุฬาลงกรณ์เดินทางไปเยี่ยมที่เมืองเจนีวาในปี 2440 อีกด้วย ตัววชิราวุธนั้นรับบทเป็นลูกสาวชื่อมารี ในยุคนั้น โรงเรียนประจำชั้นสูงมักเป็นแยกหญิงชายและหลายๆ มหาวิทยาลัยหรือแม้แต่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดเองก็รับเฉพาะผู้ชาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายจะมาเล่นละครรับบทเป็นผู้หญิง
เจ้าฟ้าวชิราวุธเดินทางกลับสยามในปี2446 เมื่ออายุ 22 ปี เขากลับมาพร้อมกับความลับที่ว่าเขาเป็นเกย์ ในสมัยนั้นเรื่องชายรักชายเป็นเรื่องที่ต้องปกปิดและไม่อาจยอมรับว่าเป็น เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย วชิราวุธรายล้อมตัวเองด้วยขุนนางผู้ชาย และมักจะพาชายหนุ่มที่ตัวเองชอบติดสอยห้อยตามเป็นข้ารับใช้และข้าราชบริพาร แต่งตั้งตำแหน่งและยศสูง ๆ ให้ การที่วชิราวุธเลือกที่จะรายล้อมตัวเองด้วยผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาหลงใหลคลั่งไคล้เรื่อง มาย เฟรนด์ ย่าเหล ชานันท์ ยอดหงส์ ผู้เขียนหนังสือสะเทือนวงการเรื่อง นายใน สมัยรัชกาลที่ 6 ได้อธิบายไว้ว่า เพราะวชิราวุธรู้สึกเหงาและโดดเดียว เขาเชื่อว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนชายด้วยกันนั้นเข้มข้นและเป็นรูปแบบความรักที่สูงส่ง เป็นมุมมองปกติในกลุ่มชนชั้นนำของอังกฤษในช่วงยุควิกตอเรีย
วชิราวุธต่อสู้กับความกดดันที่จะต้องเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป อีกทั้งการต้องประนีประนอมความไม่สอดคล้องระหว่างบทบาทในการพระราชภารกิจพระราชาและเพศสภาพของตน การตัดสินใจที่จะรายล้อมตัวเองด้วยข้าราชบริพารหนุ่ม ๆ เพื่อรับใช้และสร้างความบันเทิงให้ตัวเองนั้นกลายเป็นเรืองอื้อฉาวในชนชั้นสูงและการที่วชิราวุธใช้เวลาส่วนใหญ่ที่พระราชวังสนามจันทร์ในจังหวัดนครปฐมเองก็ทำให้พระองค์เป็นที่สนใจและเป็นเรื่องซุบซิบในกรุงเทพฯ พระราชวังสนามจันทร์เริ่มก่อสร้างในปี 2450
ในปี 2451 วชิราวุธเดินทางไปตรวจราชการที่คุกจังหวัดนครปฐม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังสนามจันทร์ และในระหว่างการเยี่ยมชมคุกนั้น เขาได้เห็นลูกสุนัขน่ารักขนสีขาวปุกปุยแต้มดำสองตัว วชิราวุธก็ได้รับลูกสุนัขและแม่ของมันมาเลี้ยงไว้ แล้วตั้งชื่อให้ว่าย่าเหลและพอล
ไม่นานพอลก็ตายลง แต่ย่าเหลกลายเป็นเพื่อนคู่ใจของวชิราวุธ ย่าเหลมักจะติดตามวชิราวุธไปไหนทุก ๆ ที่ นอนหมอบข้างเท้าไม่ว่าจะวชิราวุธจะเขียนงานหรือกินอาหาร และย่าเหลจะเห่าใส่ผู้ที่มาเข้าเฝ้า วชิราวุธถือว่าย่าเหลเป็นเพื่อนผู้จงรักภักดีของเขา
ในปี 2453 จุฬาลงกรณ์เสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 57 ปี วชิราวุธเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 6 ของสยามเร็วกว่าที่พระองค์คาดหวังไว้ ในรัชกาลของวชิราวุธนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นรัชสมัยแห่งความวิบัติ การแต่งตั้งเพื่อนชายคนสนิทให้ดำรงตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาล หรือ เป็นข้าราชบริพารชั้นในได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่กลุ่มขุนนางที่ถูกเบียดออกไปจากตำแหน่งดังกล่าว รวมทั้งยังทำให้ทหารโกรธเพราะลดความสำคัญของทหารลงและตั้งกองกำลังติดอาวุธใหม่ที่ใช้ชื่อว่า กองเสือป่า ขึ้นมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของวชิราวุธโดยตรงรวมทั้งแสดงความสนิทสนมกับกลุ่มเสือป่าแต่หลบเลี่ยงกองทัพ วชิราวุธผลาญเงินจำนวนมากไปกับพระราชพิธีที่ฟู่ฟา กองกำลังส่วนตัวและเพื่อนชาย เขาใช้เงินแผ่นไปอย่างมากจนเกือบทำให้ประเทศล้มละลาย
ส่วนย่าเหลเองก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบ เพราะเป็นสุนัขที่ได้รับการปรนเปรอด้วยอาหาร ของเล่น และความเป็นอยู่อันหรูหรา ถูกตามใจอย่างมากจากข้าราชบริพาร และยังมีนิสัยชอบกัดผู้มาเข้าเฝ้าในวัง ส่วนกลุ่มชนชั้นสูงและทหารจำนวนมากก็ไม่พอใจวชิราวุธในการแต่งตั้งตำแหน่งให้แก่คนสนิท ย่าเหลเป็นสุนัขที่เป็นสัญลักษณ์ของทุกอย่างที่ขุนนางเกลียดชังในรัชสมัยของพระองค์ สุนัขพันธุ์ทาง เกิดในคุก แต่ได้รับเกียรติเลี้ยงดูอยู่อย่างขุนนาง ได้รับเหรียญประกาศว่าเป็นราชองค์รักษ์ด้วย
ในปี 2455 กลุ่มทหารซึ่งรวมถึงราชองครักษ์ได้สมคบคิดวางแผนก่อกบฏต่อวชิราวุธ โดยได้ล้อมจับเขาที่งานแห่งหนึ่งในวันที่ 1 เมษายน ในบันทึกคดีภายหลังมีข้อกล่าวหาว่าเหล่ากบฏเรียกร้องให้พระองค์สละราชสมบัติและหากวชิราวุธไม่ทำตามก็จะสังหาร ต่อมามีการตั้งข้อหากบฏและลอบวางพระชนม์ต่อกลุ่มผู้ที่วางแผนนี้ซึ่งพวกเขาได้ปฏิเสธข้อกล่าวอันหลัง รายละเอียดของแผนการหลุดออกมาในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ โดยเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เกี่ยวข้อง และในเดือนพฤษภาคม มีคนจำนวน 91 คนโดยจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดในแผนการดังกล่าว สามคนถูกตัดสินประหารชีวิต อีก20 คนจำคุกตลอดชีวิตและที่เหลือต้องโทษในระยะยาว แม้ต่อมาภายหลังวชิราวุธได้โปรดเกล้าให้ลดหย่อนโทษให้ทุกคน และนักโทษทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวใน 12 ปีให้หลัง
การกบฏในครั้งนั้นทำให้วชิราวุธยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นและเขาก็ใช้เวลามากกว่าเดิมในพระราชวังชั้นในที่เขาได้รับการดูแลโดยเหล่าฮาเร็มข้าราชบริพารชายหนุ่มที่ไม่เหมือนอดีตกษัตริย์ที่มักจะรายล้อมด้วยฮาเร็มหญิงสาว และย่าเหลสุนัขผู้จงรักภักดีก็อยู่เคียงข้างวชิราวุธตลอดเวลา
ในปี2456หลังการก่อกบฏที่ล้มเหลว ย่าเหลก็ถูกลอบสังหาร ร่างของมันถูกพบใกล้บริเวณพระบรมมหาราชวัง มันถูกยิงหลายนัด เหมือนกับตัวละครเรื่องมายเฟรนด์ ย่าเหล ในพระราชประวัติได้กล่าวถึงการตายของย่าเหลว่าเป็นการกระทำของข้าราชบริพารในวังที่โกรธเกลียดเพราะโดนย่าเหลกัดหรือเห่าไล่ แต่การก็ไม่น่าจะเป็นอย่างที่เขียนไว้ การใช้ปืนในการฆ่าย่าเหลน่าจะเป็นงานของพวกทหารหรือขุนนางเพื่อเป็นการส่งข้อความไปยังวชิราวุธ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณแห่งความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน
วชิราวุธใจสลายต่อการสูญเสียเพื่อนสี่ขาผู้จงรักภักดี งานศพย่าเหลถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ ผู้ร่วมงานแต่งตัวเป็นสัตว์มาเดินขบวนแห่ศพ วชิราวุธได้จ้างสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยนเออร์โคล แมนเฟรดีซึ่งได้รับแต่งตั้งตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักพระราชวัง และโปรดให้ทำรูปปั้นย่าเหลตั้งไว้ที่พระราชวังสนามจันทร์จังหวัดนครปฐม เพื่อบันทึกความทรงจำของเพื่อนสี่ขาของเขาวชิราวุธได้แต่งกลอนเพื่อแสดงความอาลัยไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ย่าเหลสุนัขที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพื่อนผู้จงรักภักดีอย่างแท้จริง
อนุสาวรีย์ย่าเหลถูกตั้งขึ้นในปี2457บนบริเวณหน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ที่สร้างขึ้นในปี 2451ตามการออกแบบที่ทำให้เหมือนกับคฤหาสน์สไตล์ฝรั่งเศสตามแบบละคร มายเฟรนด์ย่าเหล ในปี 2459 ได้มีการสร้างตึกเพิ่มอีกหลังโดยให้ชื่อว่า พระราชตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ ชาลีและมารีนั้นเป็นตัวละครในเรื่องดังกล่าว
สุขภาพร่างกายของวชิราวุธเริ่มไม่ค่อยดีในขณะที่รัชสมัยของพระองค์ได้ดำเนินไปข้างหน้าและเกิดความไม่พอใจเพิ่มมากขึ้นในแผ่นดิน หนังสือพิมพ์ได้ล้อเลียนและวิจารณ์เขาอย่างโจ่งแจ้งในแบบที่เราคิดไม่ถึงและไม่สามารถเห็นได้ในสื่อไทยสมัยใหม่ หนึ่งในนักข่าวและนักวาดการ์ตูนที่กล้าวิจารณ์วชิราวุธคือ เสม สุมานันท์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกการเมืองก่อนที่จะมาร่วมงานกับสำนักพิมพ์เกราะเหล็กในภายหลังในปี 2467 เสมวิจารณ์วชิราวุธและขุนนางอย่างไม่ไว้หน้า ในเดือนธันวาคม 2467เขาได้วาดการ์ตูนเยาะเย้ยในความเลื่อมใสในตัวของย่าเหล เป็นรูปที่ย่าเหลพร้อมลำแสงและคนมาทำความเคารพประหนึ่งเป็นเจ้า
แม้ว่าอนุสาวรีย์ของย่าเหลจะดูเกินจากความปกติไปบ้าง แต่ความโศกเศร้าต่อการจากไปของย่าเหลที่วชิราวุธมีนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริง วชิราวุธยังเลี้ยงสัตว์อีกหลายตัวไว้ในช่วงวาระสุดท้ายของรัชกาลจนกระทั่งเขาตายในปี 2468 แต่ไม่มีสัตว์ตัวไหนที่พิเศษเทียบเท่าย่าเหลได้เลย อนุสาวรีย์ย่าเหลยังคงตั้งอยู่ในพระราชวังสนามจันทร์ในจังหวัดนครปฐม ไม่ไกลจากคุกที่ย่าเหลเกิด
ทองแดง
จุดเริ่มต้นชีวิตของทองแดงนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าย่าเหลมากเท่าไหร่ ทองแดงเป็นลูกสุนัขที่เกิดจากแม่สุนัขข้างถนน มีพี่น้องทั้งหมด 6 ตัว อาศัยอยู่ใต้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ไม่ไกลจากซุปเปอร์มาร์เก็ตโกลเด้นเพลสพระรามเก้า และในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2541 ชะตาชีวิตก็ของมันพลิกผันกลายเป็นสุนัขทรงเลี้ยงตัวโปรดและที่ผู้คนเคารพรักมากกว่าสุนัขตัวอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ในหลวงภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนไทยส่วนมากให้ความเคารพรักมากกว่าที่เขาควรได้รับ เขาได้เดินทางเพื่อวางศิลาฤกษ์ของอาคารคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาในวันที่29กันยายนในปีเดียวกัน จากบันทึกของภูมิพลที่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ว่า เมื่อเจ้าหน้าที่เขตได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับเสด็จ เจ้าหน้าที่เขตได้ย้ายสุนัขข้างถนนที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลอยู่นั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ภูมิพลกล่าวว่าชาวบ้านได้เขียนจดหมายร้องทุกข์ต่อทางวังว่ามีสุนัขที่ดูแลนั้นได้หายไป ภูมิพลได้ออกคำสั่งให้คืนสุนัขทั้งหมดให้ชุมชน เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องราวที่ฟังดูสวยงาม เกินจริง เพราะมันคล้าย ๆ กับรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อของทางวังที่มักจะสร้างภาพว่ากษัตริย์มักช่วยแก้ปัญหาและรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์จากชาวบ้านผู้ยากไร้เสมอและมักจะจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เห็นใจความเดือดร้อนของประชาชน แต่จากการบอกเล่าของภูมิพลนั้น เมื่อสุนัขข้างถนนทั้งสี่ตัวถูกส่งคืนไป มีสุนัขข้างถนนอีกสองตัวเพิ่มไปกับพวกมันด้วย สุนัขใหม่ 2 ตัวที่เพิ่มขึ้นมานี้ ตัวหนึ่งชาวบ้านเรียกว่า “แดง” เป็นสุนัขที่ “ผอมมีแต่กระดูกและขี้เรือน” และมีสีน้ำตาลแดง เมื่อถูกปล่อยก็หนีเข้าไปในซอยหมู่บ้านข้างคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาและไม่ยอมออกไปจากซอยนั้นอีกเลย หลังจากที่แดงได้คลอดลูกสุนัขทั้งเจ็ดตัวเป็นตัวเมียหกตัวและตัวผู้หนึ่งตัวในวันที่ 7 พฤศจิกายน ชาวบ้านและคนงานก่อสร้างได้นำกล่องลัง หนังสือพิมพ์เก่าและผ้าเช็ดตัวเก่ามาปูให้เป็นที่นอนและนำนมมาให้ลูกสุนัข
ภูมิพลกล่าวว่าเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2541เขาได้รับลูกสุนัขเพศเมีย เพราะมีลักษณะเด่นต่างจากพี่น้องตัวอื่น คือมีสายสร้อยรอบคอครึ่งเส้น ถุงเท้าขาวทั้ง 4 ขา หางม้วน และที่สำคัญที่สุด คือ จมูกแด่น และหางดอกสีขาว เขาได้ตั้งชื่อมันว่า “ทองแดง” ก่อนหน้านี้ภูมิพลเองก็มีสุนัขอยู่หลายตัวแล้ว และสุนัขใหม่อีกตัวคือ “ทองดำ” ที่เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กลับทองแดง ภูมิพลรับสุนัขสองตัวนี้ไว้เพื่อให้เป็นคู่กันในอนาคต
ภูมิพลเล่าว่าวันที่ทองแดงถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ ทองแดง “ร้องไห้ตลอดทาง”:
อาจเป็นเพราะคิดถึงแม่ หรือว้าเหว่เพราะยังเด็กมาก แม้ผู้นำมาจะได้ป้อนนมและขนมทองแดงก็ไม่หยุดร้อง
แต่เมื่อได้เข้าเฝ้าในหลวง ทองแดงก็หยุดร้องทันที
แต่น่าประหลาดเมื่อถวายตัวแล้ว ทองแดงก็หยุดร้อง แล้วคลานเข้ามาซุกที่ตักเหมือนจะฝากชีวิตไว้กับพระองค์ และหลับสนิทอย่างหมดกังวล คลายความหวาดกลัวและความหว้าเหว่ทั้งมวล
ช่างภาพของสำนักราชวังได้ถ่ายภาพดังกล่าวไว้ได้ ตอนทองแดงหลับและทองดำก็คลานมาที่ขาของภูมิพล เขายิ้มออกมา เกิดเป็นภาพที่ไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่นัก
ตลอดช่วงรัชกาลที่เก้านั้น สำนักราชวังมักจะสร้างภาพให้ภูมิพลเป็นอัจฉริยะ เป็นกษัตริย์ที่รู้ทุกอย่าง มีความเฉลียวฉลาด เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ดูเหมือนภูมิพลก็เชื่อว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริง ๆ ภูมิพลคิดว่าเขาฉลาดกว่าทุกคนและสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันบรรเจิดเสมือนกับว่ามันข้อมูลเชิงลึกที่ยอดเยี่ยม ภูมิพลมีความเชื่อมั่นว่าสุนัขพันธุ์ทางอย่างทองแดงที่จริงแล้ว เป็นสุนัขที่มีชาติกำเนิดมาจากพันธุ์บาเซนจิ สุนัขล่าเนื้อที่มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา เขาจึงตัดสินใจที่จับทองแดงผสมพันธุ์กับทองแท้สุนัขอีกตัวที่เขาคิดว่ามีลักษณะแบบเดียวกับสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ในวันที่ 26 กันยายน 2543 ทองแดงได้คลอดลูกสุนัขออกมา 9 ตัวเป็นตัวเมียสามและตัวผู้หกตัว
ในขณะที่ภูมิพลได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญในชีวิตมาแล้วถึง 2 ครั้ง การเฉลิมฉลองครบรอบ 6 รอบในวันเกิดอายุครบ 72 ปีในเดือนธันวาคมปี2542 และหลังจากนั้น 5 เดือนเขาก็แซงหน้ารัชกาลที่ 1 เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานสุดในประวัติศาสตร์ไทย เขาถูกคาดหวังว่าจะเกษียณมาหลายปีแล้วแต่ชัดเจนแล้วว่าองค์รัชทายาทอย่างวชิราลงกรณ์ก็ไม่ได้มีความเหมาะสมที่จะมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ทำให้เขายังคงต้องครองบัลลังก์ต่อไป รัฐธรรมนูญปี 2540ที่ผ่านการรับรองโดยนักกฎหมายอนุรักษ์นิยมและรักเจ้าได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเตรียมการเปลี่ยนรัชกาลโดยเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่สถาบันต่าง ๆ และทำให้บทบาทของกษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์ เมื่อใกล้วาระสุดท้ายของชีวิต ภูมิพลหาทางที่จะลดการทำหน้าที่ต่าง ๆ ลงและใช้ชีวิตในปั้นปลายอย่างสงบสุข เขาได้ย้ายจากวังสวนจิตรลดาไปยังพระราชวังไกลกังวลในเมืองตากอากาศชายทะเลอย่างหัวหิน
แตกต่างกับวชิราวุธที่เป็นคนอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องมีเพื่อนตลอดเวลาในช่วงชีวิตเขา ภูมิพลเป็นคนรักสันโดษ มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าและขี้หงุดหงิดบ่อยครั้ง อย่างที่ปัญญาชนสยาม สุลักษณ์ ศิวะรักษ์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสารอเมริกาชื่อ เฟลโลชิปในปี 2535:
He’s a very nice man, but he has no friends, and he knows it. People surround him, flatter him, and so on.
ภูมิพลแยกกันอยู่กับสิริกิติ์ตั้งแต่ปี 2523 และห่างเหินกับลูกทั้งสามคนจากทั้งหมดสี่คน สิรินธรเป็นลูกที่เขาสนิทที่สุด หลังย้ายไปพักอยู่ที่หัวหินแล้วเขายิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้น อย่างที่ข้อความลับของสหรัฐได้เขียนไว้ในปี 2552:
The King's decade-long sojourn in Hua Hin starting in 2000 significantly limited the amount of interaction he had not only with the Queen but also those whom many outsiders (incorrectly) presume spend significant amounts of time with him: Privy Councilors; as well as officials of the office of the Principal Private Secretary, all of whom are Bangkok-based and do not have regular access to the King.
ทองแดงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดและเพื่อนคู่ใจของภูมิพล และโปรเจ็คหลักของภูมิพลหลังจากย้ายมาอยู่หัวหินคือการเขียนหนังสือชมสุนัขตัวโปรดของเขา
หนังสือเรื่อง ทองแดง พิมพ์เมื่อปี 2545 เป็นมากกว่าหนังสือที่ระลึกถึงสุนัขอันเป็นที่รัก มันเป็นข้อความที่ไม่ค่อยอ้อมค้อมมากสำหรับประชาชนของเขา กษัตริย์เขียนชื่นชมว่าทองแดงนั้น “เป็นสุนัขที่มีสัมมาคารวะ” และ “มีกิริยามารยาทเรียบร้อย เจียมเนื้อ เจียมตัว รู้จักที่ต่ำที่สูง” มันรู้จักที่ของมันในลำดับชั้นในสังคมไทย:
เวลาเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทองแดงจะนั่งต่ำกว่าเสมอ แม้จะทรงดึงตัวขึ้นมากอด ทองแดงก็จะทรุดตัวลงหมอบกับพื้น และทำหูลู่อย่างนอบน้อม คล้าย ๆ กับแสดงว่า “ไม่อาจเอื้อม”
ย้อนไปเมื่อปี 2416 กษัตริย์จุฬาลงกรณ์ทำการยกเลิกการหมอบคลานต่อหน้าเจ้า ประกาศว่าเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงการกดขี่และไม่สมควร แต่พิธีการดังกล่าวถูกนำกลับมาใช้อีกในรัชสมัยของภูมิพล และเห็นได้ชัดเจนจากหนังสือเรื่องทองแดง ที่เขาคิดว่าคนต้องหมอบคลานแทบเท้าเขาเหมือนสุนัข ในหนังสือเขาได้ชื่นชมทองแดงที่นั่งไขว้ขาคล้ายกับการไหว้เวลามันอยู่กับพื้น และเขาได้พูดว่าบางทีมนุษย์ควรเรียนรู้การหมอบคลานโดยดูสุนัขของเขาเป็นตัวอย่าง
น้ำเสียงของหนังสือเล่มนี้เหมือนการสั่งสอนทางอ้อมแบบตีวัวกระทบคราดด้วยภาษาง่าย ๆ นำเสนอภูมิปัญญาที่ลึกล้ำ ซึ่งคล้ายคลึงกับพระราชโอวาทยาว ๆ และวกวนที่เขาชอบกล่าวต่อเจ้าหน้าที่รัฐ มาลาวิกา เรดดี้ และเทย์เลอร์ โลว เขียนบทวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทองแดงไว้อย่างดีว่า:
Endearing perhaps to other dog lovers, the text repeatedly interprets unremarkable canine behaviors as signs of Tongdaeng’s distinctiveness. Tongdaeng’s enthusiasm for watching fish being fed is glossed as Tongdaeng’s “interest in fisheries.” The fact that, when commanded, Tongdaeng stops scratching becomes, in the text, an example of how quickly she learns. That Tongdaeng likes to lick the King’s hand evidences her loyalty and respect for His Majesty.
ลักษณะเฉพาะที่สำคัญอย่างหนึ่งของภูมิพลก็คือ ความเชื่อมั่นว่าตัวเขาเองนั้นมีความรู้มากกว่าทุก ๆ คน เขาเขียนไว้ว่า:
เขาได้ค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอของสุนัขบาเซนจิอย่างถ่องแท้ จนนับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุนัขบาเซนจิมากที่สุดในประเทศไทย เขาเข้าใจสภาวะทางจิตใจของสุนัขพันธ์นี้และรู้ดีที่สุดว่าควรจะดูแลมันอย่างไร
ความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุนัขบาเซนจิของภูมิพลได้ถูกเขียนไว้ในหนังสือพร้อมภาพประกอบอีกสองสามภาพที่ดึงมาจากเวบไซต์ในเยอรมันที่แสดงรูปให้เห็นว่าฟาโรห์อียิปต์เลี้ยงสุนัขบาเซนจิ แสดงความเห็นเกี่ยวกับรูปหินสลักแสดงรูปสุนัขหมอบอยู่ข้างเก้าอี้ของฟาโรห์ ภูมิพลกล่าวไว้ว่า:
น่าแปลกที่เมื่อทองแดงยังตัวเล็กอยู่ เวลามาเข้าเฝ้าฯ มันจะหมอบอยู่ใต้ที่ประทับแบบนี้เสมอ
เขาเหมือนจะคิดอย่างจริงจังว่าเขากำลังแบ่งบันข้อมูลที่พิเศษสุดออกมาแทนที่จะมองว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดว่าสุนัขชอบนั่งอยู่ใต้เก้าอี้ของเจ้าของมัน
ในประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในโลก ประชาชนจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากหากกษัตริย์คาดหวังจะให้พวกเขาหมอบคลานบนพื้นและจะพิมพ์หนังสือเพื่อสั่งสอนให้พวกเขาได้รู้ว่าควรจะประพฤติตัวอย่างไรโดยเทียบว่ากิริยามารยาทของคนยังสู้สุนัขทรงเลี้ยงไม่ได้ หนังสือเล่มนี้ขายได้มากกว่า 500,000เล่มภายในไม่กี่เดือนเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดที่เคยมีในประเทศไทย
ภาพประกอบในหนังสือให้ข้อมูลภายในที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตของภูมิพลในวังไกลกังวล เขาชอบที่จะอยู่คนเดียวและรายล้อมตัวเองด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องส่งสัญญาณวิทยุ วอล์คกี้ทอล์กกี้ ภาพถ่ายข้างในของพระราชวังที่หัวหินยังแสดงให้เห็นว่าห้องต่าง ๆ ภายในเต็มไปด้วยกองเอกสารเต็มตู้และบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยหน้าจอคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ๊นท์ และกองเอกสาร อัลบัมรูป มันเป็นบ้านของชายแก่ที่ประหลาดและหมกหมุ่นเป็นแน่แท้ เช่นที่เรดดี้และโลว์ เขียนไว้ว่า:
The collection of mundane objects, the piles of paper, and the clutter captured in the images are disarming.
รูปประกอบในหนังสือแสดงภาพของภูมิพลอยู่ในกริยาเป็นกันเองแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทรงใส่รองเท้าแตะ ฉลองพระองค์ในชุดลำลองและชุดคลุมอาบน้ำ หรือไม่ก็เสื้อยืดสกรีนรูปทองแดง ในภาพหนึ่ง เขากำลังทาแป้งบนท้องของทองแดง
การอาศัยอยู่ที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลอย่างสงบกับทองแดงและสุนัขทรงเลี้ยงตัวอื่น ๆ ภูมิพลดูเหมือนมีความสุขในที่สุด นั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมคนไทยถึงรักหนังสือเล่มนี้
แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในหนังสือทองแดงก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หนังสือได้รับความนิยมมาก คนไทยรู้ว่าภูมิพลกำลังเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตและเกรงกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น หนังสือเล่มนี้มีพลังสะท้านสะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของคนไทยอย่างรุนแรงและมีความขมอมหวาน โดยเฉพาะกับคนหลาย ๆ คนที่เทิดทูนกษัตริย์ภูมิพล
ในปี 2547 ได้มีการทำหนังสือการ์ตูนออกมา โดยมีนักวาดการ์ตูนการเมืองชื่อดังอย่าง สมชัย กตัญญุตานันท์ หรือ ชัย ราชวัตรเป็นผู้ควบคุมการผลิต หนังสือการ์ตูนเล่มนี้ทำให้มุมมองความเศร้าโศกของหนังสือมีความเด่นชัดขึ้น ภาพภูมิพลถูกวาดด้วยลายเส้นสีขาวเสมือนเขาเป็นผี หรือสิ่งที่ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้า ๆ ส่วนหนึ่งอาจะเป็นเพราะการวาดรูปกษัตริย์เป็นตัวการ์ตูนเคยถูกมองว่าเป็นการแสดงถึงความไม่เคารพแต่มันยิ่งตอกย้ำความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ว่ายุคของรัชกาลที่เก้ากำลังจะปิดฉากลง
ภาพการ์ตูนนี้ยังเน้นย้ำความหมายแฝงของพวกอนุรักษ์นิยมในหนังสือ ภาพเจ้าหน้าที่รัฐและทหารที่นั่งอย่างเชื่อฟังแทบเท้าในหลวงและได้ศึกษาหมอบคลานที่ถูกต้องจากทองแดง ภาพของทหารถึงกับใช้สีเดียวกับสีที่วาดทองแดงเพื่อตอกย้ำข้อความที่ว่าภูมิพลต้องการให้พวกเขาเหล่านี้ประพฤติตัวเชื่อฟังเหมือนสัตว์เลี้ยง
ความพอใจในการใช้ชีวิตกึ่งเกษียณของภูมิพลก็ต้องยุติลง เขาไม่สามารถหยุดนิสัยแทรกแซงทางการเมืองในกรุงเทพฯ และให้การสนับสนุนแผนการบ่อนทำลายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประวัติศาสตร์ไทย ในปี2549 สิริกิติ์เองก็เปลี่ยนท่าทีมาเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณด้วย และการรัฐประหารอันเป็นที่ยอมรับของในวังได้ทำการโค่นล้มนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง สิ่งนี้ทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น ในเดือนตุลาคม 2550 ภูมิเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกฉับพลันและต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในปี 2551 เมื่อกลุ่มรักเจ้าเสื้อเหลืองได้ทำการประท้วงและใช้ความรุนแรงในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาใหม่ สิริกิติ์ที่ชอบแทรกแซงในทุกเรื่องมากกว่าภูมิพลได้ย้ายที่พักไปอยู่ที่หัวหินเพื่อดูแลภูมิพล ความสงบสุขในการอยู่ในบ้านตากอากาศชายทะเลได้สิ้นสุดลง
ภูมิพลอ่อนแอลงและซึมเศร้ามากขึ้น หลังเสื้อเหลืองก่อวิกฤตทางการเมืองโดยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองในกรุงเทพฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2551ระงับเที่ยวบินทั้งหมด คนไทยหลายคนก็หวังพึ่งการเข้ามาแทรกแซงเพื่อทำให้สถานการณ์ตึงเครียดน้อยลงแต่ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา สิรินธรอธิบายว่าภูมิพลป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบ ในเดือนกันยายน2552ภูมิพลถูกนำส่งโรงพยาบาลศิริราชในกรุงเทพเพราะมีไข้และติดเชื้อในปอด แพทย์อนุญาตให้ภูมิพลกลับวังได้ในเดือนตุลาคม แต่ภูมิปฏิเสธที่จะกลับและอยู่ต่อที่โรงพยาบาลศิริราช เขาอยู่โรงพยาบาลตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ มีบางช่วงที่เดินทางกลับไปเปลี่ยนบรรยากาศที่วังไกลกังวลและวังสวนจิตรลดาอยู่บ้าง ทูตสหรัฐรายงานว่า การตัดสินใจที่อยู่ต่อในโรงพยาบาลของภูมิพลเป็นช่วงเดียวกับที่ความขัดแย้งในวังเริ่มแย่ลงและมีผู้สังเกตการณ์หลายคนบอกว่าในหลวงดูหดหู่อย่างยิ่ง
There is clearly no way for anyone to analyze accurately the King's state of mind, or draw certain conclusions between political developments, possible mental stress, and his physical ailments. However, one long-time expat observer of the Thai scene, present in Thailand since 1955, has repeatedly asserted to us over the past year that the King shows classic signs of depression — “and why wouldn't he, seeing where his Kingdom has ended up after 62 years, as his life comes to an end” — and claims that such mental anguish likely does affect his physical condition/failing health.
ทองแดงเองก็เฝ้าภูมิพลอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ในเดือนมีนาคม2553 ในหลวงได้ให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เข้าเฝ้าเพื่อจะแสดงความสนับสนุนในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้เริ่มออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภูมิพลคาดหวังให้อภิสิทธิ์หมอบคลานบนพื้นข้าง ๆ ทองแดง มันแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจของภูมิพลที่มีต่อนักการเมืองและเขาคิดว่านักการเมืองพวกนี้ต่ำต้อยกว่าเขา ถึงแม้จะเป็นนักการเมืองที่เขาเองให้การสนับสนุนก็ตาม
ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา การ์ดสวัสดีปีใหม่ของภูมิพลจะเป็นภาพถ่ายของเขาคู่กับทองแดงและสุนัขตัวโปรดตัวอื่น ๆ แทบจะไม่มีภาพคู่กับมนุษย์คนอื่นเลยและเป็นภาพตัดแต่งที่ไม่เนียนอย่างเช่นการ์ดปีใหม่2554 ที่ด้านล่างของการ์ดตกแต่งด้วยรูปอิโมจิยิ้ม ภาพสวัสดีปีใหม่ทำเพื่อที่จะส่งต่อความยินดีปรีดาต้อนรับปีใหม่แต่สำหรับการ์ดของภูมิพลแล้วมันกลับสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวและซึมเศร้าของเขา (อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลได้วิเคราะห์การ์ดปีใหม่ของภูมิพลไว้ในปี2513 ซึ่งเป็นบทแนะนำอ่านเพิ่ม)
เมื่อเข้าปี 2554 ภูมิพลมีสุขภาพอ่อนแอและชราลงอย่างมาก บางครั้งเขาถูกนำตัวออกนอกตึกของโรงพยาบาลศิริราชโดยมีทองแดงติดตามไป เพื่อไปนั่งรับลมที่ท่าน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้อยกว่าปีมาแล้ว ตำนานของราชวงศ์ไทยเล่าต่อ ๆ กันมาว่า กษัตริย์มีอำนาจวิเศษในการควบคุมฝนและแม่น้ำ และการพาภูมิพลมาที่ท่าน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็เพื่อจะตอกย้ำความเชื่อโบราณเรื่องนี้
ในที่สุดกษัตริย์ก็แก่ชราเกินกว่าที่จะเข้ามายุ่งจัดการเรื่องการเมือง และหลังจากนั้นสิริกิติ์เองก็เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลันในขณะที่กำลังเดินอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชในปี2555ทำให้เธอไม่มาข้องเกี่ยวในการเมืองด้วยอีกคน วชิราลงกรณ์ได้รวบรวมขุมกำลังของเขาเมื่อการสืบต่อราชสมบัติเริ่มชัดเจนขึ้น ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจในปี2557เพื่อจัดการการสืบราชสมบัติและจำนวนคดีหมิ่นพระบรมฯก็เพิ่มขึ้นเมื่อรัฐบาลทหารพยายามปิดปากคนเห็นต่าง
ในขณะที่รัฐบาลทหารพยายามหาผลประโยชน์จากการใช้เรื่องทองแดงมาทำโฆษณาชวนเชื่อให้แก่สถาบัน ในปี2558ได้มีการสร้างภาพยนตร์การตูนเกี่ยวกับภูมิพลและสุนัขตัวโปรดของเขาขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า คุณทองแดง
ท่ามกลางบรรยากาศที่ร้อนระอุและหวาดระแวงเมื่อวาระสุดท้ายของรัชกาลที่9ใกล้สิ้นสุดลง การกล่าวล้อเล่นเกี่ยวกับทองแดงก็ทำให้โดนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ ธนากร สิริไพบูลย์ หนุ่มโรงงานที่สมุทรปราการอายุ 27 ปี โดนจับกุมตัวที่บ้านของเขาในวันที่ 8 ธันวาคม 2558 ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยการโพสต์ล้อเลียนทองแดงบนเฟซบุ๊ค เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 3 เดือนก่อนได้รับประกันตัวและฝันร้ายในการต้องต่อสู้เรื่องคดีก็ยังไม่จบจนกระทั่งวันที่13มกราคม2564ที่เขาพ้นผิดทุกข้อกล่าวหา
ทองแดงตายลงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 26 ธันวาคม 2558ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน มันมีอายุ17 ปี 2เดือน ในขณะที่ภูมิพลก็อยู่ในอาการโคม่าที่โรงพยาบาลศิริราช อาการสาหัสมากโดยที่เขาเองก็อาจไม่รู้ว่าเพื่อนคู่ใจได้จากไปแล้ว และก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างมันเมื่อตอนจากไป การพูดคุยถึงเรื่องที่ว่าหากภูมิพลตายในที่สาธารณะเป็นเรื่องต้องห้าม คนไทยเลยใช้ทองแดงเป็นชื่อเชิงสัญลักษณ์ใช้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับความน่ากลัวของการสืบราชสันติวงศ์บนโซเชียลมีเดียแทน เหมือนรายงานของบีบีซีชิ้นนี้
Tongdaeng's death will doubtless remind Thais of the increasing frailty of the 88-year-old king, and of the anxiety and uncertainty which still surrounds the succession to a new monarch.
ไม่ถึง10 เดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 13ตุลาคม 2559 ภูมิพลก็ได้จากโลกนี้ไปเช่นกัน
งานศพของในหลวงรัชกาลที่ 9 จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2560 รูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของทองแดงและทองหลาง สุนัขตัวโปรดรองลงมาได้ถูกปั้นขึ้นโดย ชิน ประสงค์ ศิลปินช่างปั้นที่ปั้นรูปปั้นสุนัขตัวอื่น ๆ ของภูมิพลในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่
สำนักราชวังได้พยายามรักษาความเคารพรักในตัวภูมิพลให้คงอยู่ถึงแม้ตัวจะจากไปแล้วก็ตามเพื่อทดแทนในสิ่งที่กษัตริย์องค์ใหม่อย่างวชิราลงกรณ์ไม่มี และพวกเขาก็พยายามรักษาเรื่องราวของทองแดงให้คงอยู่ด้วยเช่นกัน
ก่อนการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม2563 ที่จัดขึ้นเพื่อหาความชอบทำทางการเมืองให้กับพลเอกประยุทธ์และพรรคพวกที่ทำการยึดอำนาจมาเป็นเวลากว่า5 ปีแล้ว อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาชูชาติ ศรีแสงกระตุ้นให้คนไทยเลือกพรรคการเมืองของทหารเพราะทองแดงเคยเลียประยุทธ์ซึ่งตัวเขาถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประยุทธ์นั้นได้รับการสนับสนุนจากรัชกาลที่ 9
ถึงตอนนี้ลูก ๆ ของทองแดงเองก็ตายไปหมดแล้วเช่นกัน แต่เมื่อปี2563 คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรได้ประกาศความสำเร็จในการผสมเทียมสายเลือดสุนัขทรงเลี้ยง โดยการใช้น้ำเชื้อจากลูกทองแดงสองตัว ซึ่งได้มาจากทองเอกและทองหยิบ อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้ความเคารพในราชวงศ์กลับมาได้หลังจากที่มันโดนทำลายโดยความบ้าบอของวชิราลงกรณ์
ฟูฟู
มันเป็นฝันร้ายของท่านทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในช่วงที่ใกล้หมดวาระ ทูตราล์ฟ “สกิป” บอยซ์ จัดการเชิญ Preservation Hall Jazz Band วงดนตรีแจ๊สชื่อดังแห่งเมืองนิวออร์ลีนให้มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงภูมิพลผู้ชื่นชอบหลงใหลในดนตรีแจ๊ส แต่เพียงหนึ่งเดือนก่อนหน้าคอนเสิร์ต ในหลวงภูมิพลเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกอย่างเฉียบพลันทำให้ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อวันงานคอนเสิร์ตมาถึง วชิราลงกรณ์จึงเป็นตัวแทนประธานในพิธีและไม่พลาดที่จะพาสุนัขพุดเดิ้ลคู่ใจอย่างฟูฟูมาด้วย
รายงานลับของสถานทูตสหรัฐ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ดังนี้
Foo Foo was present at the event, dressed in formal evening attire complete with paw mitts, and at one point during the band’s second number, he jumped up onto the head table and began lapping from the guests' water glasses, including my own. The Air Chief Marshal’s antics drew the full attention of the 600-plus audience members, and remains the talk of the town to this day.
เมื่อสถานการณ์ความวุ่นวายบนโต๊ะอาหารเกิดขึ้น บอยซ์ซึ่งนั่งติดกับศรีรัศมิ์ ภรรยาคนที่สามของวชิราลงกรณ์ ได้พยายามพูดคุยกับศรีรัศมิ์เกี่ยวกับสุนัขและได้รู้ว่า ฟูฟู ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งระดับสูงในกองทัพอากาศ
Srirasm … confirmed that the Crown Prince's miniature poodle, Foo Foo, currently holds the rank of Air Chief Marshal.
แต่เมื่อบอยซ์เปลี่ยนเรื่องในการสนทนาไปเป็นเรื่องของสิรินธร (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นคู่แข่งคนสำคัญในการสืบราชบัลลังก์เมื่อภูมิพลเสียชีวิต)
I mentioned to Srirasm that, during the state dinner hosted by the King for former President Bush in December 2006, the King had appeared most energized when discussing animals; he had spoken animatedly about his most well-known dog, Thongdaeng, and others. I mentioned having heard Princess Sirindhorn had a large dog, and I asked Srirasm if she knew the breed. Srirasm appeared immediately to freeze up; her body language changed, and she said curtly that she knew nothing of Sirindhorn's affairs. (Comment: Her reaction was interesting, given a widespread, longstanding perception that Sirindhorn may somehow edge out the Crown Prince as successor to the King. End Comment.)
ฟูฟูเป็นสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวที่สิริวัณณวรีซื้อมาจากตลาดนัดจตุจักรในปี 2540 หนึ่งปีหลังจากที่วชิราลงกรณ์ได้เนรเทศแม่และพี่ชายทั้งสี่คนของเธอออกนอกประเทศไทยไปตลอดกาล ในช่วงแรกนั้นฟูฟูเป็นสุนัขที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ เจ้าหน้าที่วังได้พาตัวไปไว้ที่สถานรับเลี้ยงสัตว์ ต่อมาวชิราลงกรณ์และศรีรัศมิ์ได้รับมาเลี้ยงดูแทน ฟูฟูกลายเป็นสุนัขคู่ใจติดตามวชิราลงกรณ์ไปในทุกๆ งานที่เป็นทางการและแต่งเครื่องแบบเต็มยศ
ในวันเกิดศรีรัศมิ์ครบรอบ30ปีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2544 ได้มีการจัดงานเลี้ยงวันเกิดขึ้นที่ วังสนามบินน้ำ วังที่วชิราลงกรณ์อาศัยอยู่กับศรีรัศมิ์ ฟูฟูได้รับเชิญเป็นแขกกิตติมศักดิ์และกินเค้กร่วมกันกับศรีรัศมิ์ที่นั่งหมอบราบอยู่บนพื้นในชุดวาบหวิวทามกลางข้าราชบริพารจำนวนมาก
วิดีโอภาพงานเลี้ยงดังกล่าวได้หลุดออกมาในปี 2550 เพื่อทำให้วชิราลงกรณ์และศรีรัศมิ์เสียหายท่ามกลางความขัดแย้งอันตรึงเครียดของกลุ่มตรงข้ามในเรื่องการสืบต่อราชสมบัติ สื่อต่างประเทศได้รายงานภาพงานเลี้ยงดังกล่าวบ่อยครั้งว่าเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของฟูฟู ซึ่งเป็นรายงานที่ผิด เพราะจริง ๆ แล้วมันคืองานเลี้ยงวันเกิดของศรีรัศมิ์ ส่วนฟูฟูนั้นเป็นแขกรับเชิญพิเศษ
ปี2550 ฟูฟูได้ย้ายตามวชิราลงกรณ์ไปยังแคว้นบาวาเรียที่ๆ วชิราลงกรณ์เลือกที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับนางสนมคนใหม่อย่าง “นุ้ย” สุทิดา ติดใจ อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของการบินไทย ที่วชิราลงกรณ์เลือกแต่งงานด้วยในปี 2562 ฟูฟูตายในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และได้มีการจัดงานศพทางศาสนาพุทธอย่างเต็มพิธีเป็นเวลาถึง 4 วัน
แม้ว่าฟูฟูจะจากไปแล้ว แต่วชิราลงกรณ์ก็ยังมีสุนัขพุดเดิ้ลสีขาวอีกหลายตัวเพื่อสืบสานตำนานของฟูฟู ครั้งหนึ่ง วชิราลงกรณ์ถูกช่างภาพถ่ายรูปไว้ที่สนามบินมิวนิคในปี 2559 เขาสวมเสื้อกล้ามเอวลอยและปอกแขนรอยสักปลอม เดินคู่กับสุทิดาที่อุ้มสุนัขพุดเดิ้ล
ในเดือนสิงหาคม 2562 หลังจากที่วชิราลงกรณ์ได้แต่งตั้งนางบำเรอคนโปรดชื่อสินีนาฏ “ก้อย” วงศ์วชิราภักดิ์ ขึ้นเป็นนางสนมเอก ทางสำนักราชวังได้จัดพิมพ์หนังสือชีวประวัติกว่า 46 หน้ามีรูปถ่ายกว่า 60 รูปซึ่งหลายๆ รูปจะได้เห็นก้อยในชุดทหารถ่ายร่วมกับวชิราลงกรณ์และสุนัขพุดเดิ้ล
ในบางครั้งวชิราลงกรณ์จะนำสุนัขพุดเดิ้ลของเขาออกงานราชการและชอบแต่งตัวให้มันในชุดต่าง ๆ
สิ่งของพระราชทานที่ทางสำนักราชวังจัดในหลาย ๆ ครั้งมักถูกอ้างว่าเป็นการบริจาคที่มาจากสุนัขทรงเลี้ยงผู้รับจำเป็นต้องถ่ายภาพคู่กับภาพสุนัขทรงเลี้ยงด้วย
ภาพวาดการ์ตูนที่วชิราลงกรณ์ชอบตีพิมพ์เป็นประจำมักจะโชว์ภาพของเขาอาศัยอย่างสงบสุขกับนางสนมก้อย แต่ดูเหมือนจะไม่มีพื้นที่ให้ราชินีสุทิดาในภาพเลย จะมีก็แต่พื้นที่สำหรับสุนัขที่มีอยู่ให้เห็นในเกือบทุกภาพการ์ตูน
ลูกหมี
ในเดือนมีนาคม 2553 ผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายหมื่นคนจากภาคเหนือและภาคอีสานของไทยได้มารวมตัวประท้วงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ในกรุงเทพฯ 3 เมษายนในปีเดียวกัน กลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงได้ปักหลักอยู่บริเวณแยกราชประสงค์เป็นเวลาเดือนกว่าและรุ่งสางของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 กองกำลังทหารได้สลายการชุมนุม ปฏิบัติการรุกคืบกระชับยึดคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมโดยการใช้อาวุธและความรุนแรงก่อให้เกิดความวุ่นวายอยู่หลายชั่วโมงในช่วงการปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่ ตึกรามบ้านและช่องอาคารพาณิชหลายแห่งถูกลอบวางเพลิง รวมทั้งห้างสรรพสินค้าเซนที่อยู่ในอาคารเดียวกับเซ็นทรัลเวิร์ลบริเวณแยกราชประสงค์ด้วย กองกำลังรบพิเศษยิงกระสุนจริงจากบริเวณรางรถไฟฟ้าลงมายังบริเวณวัดปทุมวนารามที่กำหนดให้เป็นเขตอภัยทานและปลอดความรุนแรง เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย เมื่อการสลายการชุมนุมสิ้นสุดลงมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งหมด 91 ราย ผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือนปลอดอาวุธ
หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าว กลุ่มผู้รักเจ้าและกลุ่มผู้มีอำนาจในรัฐบาลทหารได้พยายามจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ใหม่ โดยมีการสร้างภาพ โยนความผิดให้กับผู้ชุมนุมเสื้อแดงว่าเป็นพวกม็อบหัวรุนแรง วาทกรรมการเผาห้างเซ็นทรัลเวิร์ลถูกยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยครั้งว่าเป็นหลักฐานแห่งความป่าเถื่อนของผู้ชุมนุม ถึงแม้จะมีหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ได้ว่าการวางเพลิงห้างเซ็นทรัลเวิร์ลนั้นเป็นการกระทำของฝ่ายทหารหาใช่ผู้ชุมนุมไม่
แรกเริ่มเดิมทีผู้ชุมนุมเสื้อแดงส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนราชวงศ์เป็นอย่างดี แต่พวกเขารู้สึกสะเทือนใจเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นแล้วกษัตริย์ภูมิพลไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหรือระงับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของทหารในเดือนพฤษภาแต่อย่างใด ส่งผลให้ความเทิดทูลเคารพรักที่เคยมีกลายเป็นความโกรธเกลียดที่รุนแรง ซึ่งแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนในการจัดการชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2553 ผู้ประท้วงเสื้อแดงได้เขียนภาพกราฟฟิตี้ในบริเวณรอบ ๆ ซากอาคารห้างเซนและตะโกนก่นด่าภูมิพล ความแตกแยกของประเทศไทยขยายเป็นวงกว้าง
ความพยายามส่วนหนึ่งที่ทางสำนักราชวังได้ทำเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของราชวงศ์ก็คือการที่จุฬาภรณ์ ลูกสาวคนสุดท้องของภูมิพลได้ให้สัมภาษณ์ในรายการของ วุฒิธร “วู้ดดี้” มิลินทจินดา รายการดังกล่าวแบ่งการออกอากาศเป็นสองตอนในเดือนเมษา 2554 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติวิสัยที่เจ้าจะมาให้สัมภาษณ์ออกรายการทีวี ในรายการสัมภาษณ์นั้น วู้ดดี้ พิธีกรแต่งตัวในชุดทักซิโด ผูกโบ นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นข้างเท้าของจุฬาภรณ์ ในระหว่างการสัมภาษณ์นั้นวู้ดดี้มีน้ำตาซึม ร้องไห้ให้เห็นสองสามครั้ง เมื่อจุฬาภรณ์ได้พูดถึงกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงในปี 2553 ว่าการชุมนุมดังกล่าวส่งผลให้สุขภาพของกษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิติ์แย่ลง
รู้แต่ว่าเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จเหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ตอนนั้นทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือ นอนแบบเลย สมเด็จก็เสียพระทัยมากเหลือเกิน ท่านรับสั่งว่าคราวที่แล้วเราถูกเผาเมืองนั้นคือสมัยเสียกรุงศรีอยุทธยาให้พม่า แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่าเพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง
เธอกล่าวว่าภูมิพลยังคงทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยเพื่อช่วยเหลือประเทศ
ท่านบรรทมดึกมาก บ้างครั้งก็บรรทมไม่หลับ มีเป็นบ้าง แต่ว่าบรรทมน้อยและท่านก็ยังอยากดูโครงการต่าง ๆ ให้ส่งรูปเข้ามา มีปัญหาอะไรบ้าง อย่างนี้ ท่านตาม ส่วนสมเด็จนี่ท่านก็คอยตามข่าวสารบ้านเมืองตลอดว่าเจอน้ำท่วมเนี่ย คนลำบากไหม ท่านก็ให้คนเอาถุงยังชีพไปให้ เวลาท่านเห็นราษฎรจากข่าวโทรทัศน์ว่าคนโน้นคนนี้เขาบาดเจ็บ เขาเดือดร้อน เป็นโรคนั้นโรคนี้ท่านก็ตามช่วยเหลือโดยที่ท่านไม่ได้บอกใครด้วยคือเป็นการปิดทองหลังพระจริง ๆ คือถ้านี่ไม่ได้เป็นลูกท่าน นี่ก็ไม่รู้
ตอนที่เด็ดที่สุดของการสัมภาษณ์นี้ก็คือการปรากฏตัวของสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนของจุฬาภรณ์ที่ชื่อลูกหมี จุฬาภรณ์บอกว่าลูกหมีเป็นของขวัญที่ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มอบให้ และลูกหมียังชอบกินอาหารของคนมากกว่าอาหารสุนัขเสียอีก ในการสัมภาษณ์จุฬาภรณ์ได้ทำขนมเค้กให้ลูกหมีกินในขณะที่วู้ดดี้ที่หมอบอยู่บนพื้นแย่งลูกหมีกินเค้กด้วย
อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์จากมหาลัยธรรมศาสตร์ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงจุฬาภรณ์เพื่อเป็นการโต้ตอบต่อรายการสัมภาษณ์ชิ้นนี้ การกระทำในครั้งนั้นเป็นสาเหตุให้ตัวเขาเองโดนฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมฯ จากทหาร
ตัวจุฬาภรณ์เองนั้นก็เป็นที่โจษจันในเรื่องการเข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งทางการเมือง ตัวอย่างคือตอนที่เธอนั้นได้ติดตามราชินีสิริกิติ์ไปงานศพของผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองที่เสียชีวิตจากแรงระเบิดในช่วงสลายการชุมนุมในปี2551
ในปี 2557 เมื่อกลุ่มคลั่งเจ้าอย่างกลุ่มกปปส.ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณได้พยายามออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรลาออกแล้วจัดการปฏิรูปประเทศไทย จุฬาภรณ์ก็ได้ส่งสัญญาณให้การสนับสนุนแก่กลุ่มผู้ประท้วงกปปส.อย่างเปิดเผยอีกครั้ง เราจะเห็นจุฬาภรณ์ใช้ลูกหมีในการส่งข้อความสนับสนุนของเธอไปยังผู้ชุมนุมกปปส
ในปีเดียวกันตอนที่จุฬาภรณ์ได้อาสาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอได้ทำการใส่เฝือกสีแดง ขาว และน้ำเงินที่เป็นสีของธงชาติไทยให้สุนัขที่ขาหักด้วย
การประท้วงในปี2557นั้นเป็นที่รู้กันว่าจัดตั้งมาเพื่อปูทางให้เกิดการทำรัฐประหารซึ่งได้เกิดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ทำการยึดอำนาจและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสำนักราชวังและกลุ่มรักเจ้า รัฐประหารในครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่พยายามจะลบล้างอิทธิพลของตระกูลชินวัตรออกจากการเมืองไทย แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการที่ทหารรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัชสมัยและต้องการที่จะให้กระบวนการทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ วชิราลงกรณ์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากภูมิพลที่เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ในขณะที่ลูกสาวคนเล็กอย่างสิริวัณณวลีเองก็มีบทบาทมากขึ้นควบคู่ไปกับสุนัขคู่ใจอย่างคุณน้ำหอม
คุณน้ำหอม (Princess Perfume)
ในช่วงปี2563 ที่เกิดโรคระบาดโคโรนาส่งผลให้เศรษฐกิจย่ำแย่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยนั้น ชื่อเสียงของราชวงศ์ไทยก็ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน ในขณะที่ประเทศกำลังประสบปัญหา วชิราลงกรณ์ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างไร เขายังคงใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ฟู่ฟ่าอยู่ในโรงแรมห้าดาว แกรนด์ โฮเทล ซอนเนนบิเกล ในแคว้นบาวาเรีย เมืองพักต่างอากาศอย่างการ์มิช พาเท่นเคอเช่น ในขณะที่ทางสำนักราชวังที่ไทยก็ได้ออกโฆษณาชวนเชื่อว่าเจ้านั้นทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากโรคระบาดดังกล่าว มีการแจกจ่ายถุงยังชีพพระราชทานในชุมชนแออัดในเขตกรุงเทพฯ โดยคณะจิตอาสา ห้องเสื้อแบรนด์สิริวัณณวลีก็ได้มีการเปิดตัวโครงการผลิตแอลกอฮอร์ล้างมือขึ้น เป็นโปรเจคที่คัดลอกมาจากแบรนด์ดังอย่างหลุยส์ วิตตองที่ได้ปรับเปลี่ยนโรงงานผลิตน้ำหอมสามแห่งเผื่อมาผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือ เจ้าหญิงแฟชั่นนิสต้าแห่งประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าใคร เธอประกาศว่าห้องเสื้อแฟชั่นของตนก็จะเริ่มผลิตสินค้าแบบเดียวกันด้วย แต่ที่ต่างกันจากหลุยส์ วิตตองคือห้องเสื้อแบรนด์หรูสิริวัณณวลีไม่มีโรงงานผลิตน้ำหอมที่จะเปลี่ยนไลน์การผลิตมาทำเจลล้างมือ หากแต่สั่งการให้เภสัชกรของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หันมาผลิตเจลล้างมือให้แทน โดยติดชื่อยี่ห้อสิริวัณณวลีและได้ชื่อได้หน้าไปคนเดียว โครงการผลิตเจลล้างมือเป็นเพียงเครื่องมือการตลาดเท่านั้น
ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นสิริวัณณวลีได้สวมใส่ชุดหมอเพื่อใช้ในการถ่ายภาพสำหรับงานเปิดตัวเจลแอลกอฮอร์ของเธออีกด้วยโดยมีคุณน้ำหอมสุนัขพันธุ์ยอร์กเชียร์เทอร์เรียใส่เครื่องแบบพยาบาลอยู่ข้าง ๆ
คุณน้ำหอมมีชาติกำเนิดที่แตกต่างจากทองแดงที่เป็นที่รักของภูมิพลที่เป็นเพียงหมาพันธุ์ทางข้างถนน คุณน้ำหอมเกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลามคม 2554 มาจากสายพันธุ์แท้ยอดเยี่ยมในตระกูลสูงส่งที่มีพ่อและแม่พันธุ์เป็นสุนัขระดับรางวัล พ่อของเธอนั้นชื่อ ฟาร์โร เป็นสุนัขแชมป์เปียนระดับโลก แม่ของเธอชื่อแดนเซอร์ ก็ไม่น้อยหน้าได้รางวัลชนะเลิศในการแข่งประกวดสุนัขในประเทศไทย คุณน้ำหอมเองก็ลงแข่งขันงานประกวดความสามารถสุนัขอยู่บ่อยครั้งและได้ที่หนึ่งอยู่เสมอเนื่องจากคนจัดงานเกิดความเกรงกลัวจะทำให้สิริวัณณวลีไม่พอใจหากตัดสินให้สุนัขตัวอื่นชนะ คุณน้ำหอมเองมีลูกห้าตัวซึ่งอยู่ในความดูแลของสิริวัณณวลีทั้งหมด
สิริวัณณวลียังเป็นผู้สนับสนุนให้จัดงานประกวดสุนัขประจำปีเพื่อชิงถ้วยพระราชทานจากตนเองอีกด้วย นอกจากนี้สิริวัณณวลีและเพื่อนในแวดวงสังคมชั้นสูงของเธอก็รวมตัวกันก่อตั้ง สมาคมยอร์กเชียร์เทอร์เรียแห่งประเทศไทย ที่จริงๆ แล้วจัดตั้งขึ้นมาเพื่อโปรโมตประชาสัมพันธ์สุนัขของตัวเองเป็นหลัก
คุณน้ำหอมมีชีวิตหรูหราไม่ต่างจากเจ้าของสักเท่าไหร่ ก่อนเกิดโรคระบาดทั่วโลก คุณน้ำหอมมักเดินทางไปกลับกรุงเทพ-ปารีส ที่ซึ่งสิริวัณณวลีใช้เวลาส่วนใหญ่ของเธอที่นั้น คุณน้ำหอมจะเดินทางด้วยเครื่องบินในห้องโดยสารชั้นหนึ่งของสายการบินไทย ที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ขัดกับกฎปฏิบัติของสายการบิน
มีเหตุการณ์หนึ่งในระหว่างที่สิริวัณณวลีเดินทางไปเที่ยวยังเกาะต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ตบนเรือยอร์ซหรูนั้น คุณน้ำหอมและสุนัขตัวอื่น ๆ ก็ได้ติดตามไปด้วย การเดินทางไปภูเก็ตนั้นก็เพื่อฉลองปีใหม่ในปี 2563 และทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจอย่างมากบนโซเชียลมีเดีย เพราะการเดินทางไปในเกาะต่าง ๆ อย่างเกาะบิดา เกาะปันหยี และเกาะเฮ นั้นต้องมีการปิดเกาะไม่ให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เข้าไปในช่วงที่คณะของสิริวัณณวลีไปเที่ยว การสัญจรทางน้ำและเรือประมงโดยรอบถูกคำสั่งห้ามสัญจรหรือทำประมงบริเวณโดยรอบเกาะภูเก็ตและบริเวณใกล้เคียง บริษัททัวร์และดำน้ำได้รับแจ้งไม่ให้ทำการท่องเที่ยวและดำน้ำบริเวณอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธาราและเกาะพีพีเป็นการชั่วคราว
สิริวัณณวลีชอบแต่งตัวให้คุณน้ำหอมและลูก ๆ ของเธอในชุดพิเศษพร้อมหมวก และจัดงานวันเกิดให้สุนัขทรงเลี้ยงทุกตัว เมื่อตุลาคมปีที่ผ่านมา สิริวัณณวลีได้จัดงานเลี้ยงวันเกิดหรูหราให้ลูกห้าตัวของคุณน้ำหอม พร้อมประทานเค้กวันเกิดให้กับลูก ๆ ทั้งห้าตัวเธอและมีของขวัญวันเกิดเป็นกองให้อีกด้วย
การใช้ชีวิตที่หรูหราของทั้งสิริวัณณวลีและสุนัขของเธอนั้นมาจากเงินภาษีของประชาชนคนไทยทั้งสิ้น ความสำเร็จของห้องเสื้อแบรนด์สิริวัณณวลีก็มาจากเงินภาษีของประชาชนไทยเช่นกัน โดยรัฐบาลได้ใช้เงินกองทุนสาธารณะจำนวนมากในการช่วยเหลือด้านการประกอบการและการโฆษณาส่งเสริมผลิตภัณฑ์ คนไทยหลายคนรู้ดีว่าคุณน้ำหอมและลูก ๆ ของเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นมนุษย์ของประเทศนี้มากนัก
แม้ว่ามันจะฟังดูเป็นเรื่องน่าขบขันเกินจริง แต่ความรักที่สิริวัณณวลีมีให้ต่อน้ำหอมนั้นเป็นเรื่องที่แท้จริง เหมือน ๆ กับความรักที่วชิราวุธมีต่อย่าเหล่ ภูมิพลมีให้ทองแดง วชิราลงกรณ์มอบให้ฟูฟูและจุฬาภรณ์ต่อลูกหมี ตลอดช่วงชีวิตของเขาเหล่านี้